มุมมองส่วนตัวของคุณ เห็นด้วยกับรัฐบาลหรือไม่กับการ "กู้เงิน 2 ล้านล้าน" เพื่อส่วนหนึ่งใช้ในการสร้าง "รถไฟ

กระทู้คำถาม
มุมมองส่วนตัวของคุณ เห็นด้วยกับรัฐบาลหรือไม่กับการ "กู้เงิน 2 ล้านล้าน" เพื่อส่วนหนึ่งใช้ในการสร้าง "รถไฟฟ้าความเร็วสูง"

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
สร้าง Infra สมัยก่อนด่าสมัครกัน ขรมว่าคิดสร้างทางด่วนทำไม  ไทยรัฐก็เขียนด่าทักษิณว่าโง่ เอามือถือมาขายเมืองไทย ใครจะมีปัญญาซื้อใช้ไม่จำเป็น  สุวรรณภูมิก็ด่าว่าจะสร้างทำไม ดอนเมืองก็พอแล้ว  อีกสามปี หากไม่มีระบบขนส่งอะไร  ที่รวดเร็ว สนามบินจะแออัด ยัดเยียด เครื่องบินจะต้องรอคิวกันยาว  รถไฟนี้แทบจะไม่มีที่วางเท้า  เพราะว่าทั้งอาเซียน คนจะมาเที่ยวเดินทางกันมากมาย วันก่อนไปเดินวัดพระแก้ว ไม่ไปสักปีได้  คนจีนเยอะมากมาเที่ยวอะไรกันนักหนาก็ไม่รู้  
   การคิดก้าวหน้า  คิดแล้วทำเลยจะดีที่สุด สุวรรณภูมิ  คิดมาตั้งแต่ 2498 ยักแย่ยักยัน สร้างเสร็จปี 49 เพราะมีคนบ้าๆ ดื้อดึงไม่ฟังใครถึงสร้างเสร็จ คนไทยว่านอนสอนง่าย ปรึกษาหารือกัน 50 ปี กว่าจะได้สร้างอะไรสักอย่าง อีกไม่กี่ปี พม่าสร้างโรงไฟฟ้านิวเครียร์ ไทยไม่สร้างต่อต้านกัน ก็รอรับผลร้ายจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของพม่า  หากรั่วเพราะมาถึงไทยเหมือนกัน  วันไหนพม่าพัฒนาก๊าซ ไม่พอขายไทยจบเห่ คงได้ใช้ตะเกียงน้ำมัันมะพร้าวกัน
ความคิดเห็นที่ 7
เห็นด้วยไม่เห็นด้วย คนในนี้มองกันแค่ว่าเป็นนโยบายของใคร

ต่อให้เอาประเทศไปขาย ระเบิดประเทศ ถ้าออกมาจากคนที่ชอบ  มันก็เชียกันสุดใจขาดดิ้น
ความคิดเห็นที่ 47
เห็นด้วยกับการทำโครงสร้างพื้นฐานครับ

จะคมนาคม พลังงาน การจัดการน้ำ ทำไปเลยครับ หนุนเต็มที่

บ้านเรานะ  คนคิดมีเยอะ แต่คนกล้าเลือก กล้าฟันธงทำมันมีน้อย
ศึกษากันจนสังคมเปลี่ยน พอจะทำก็ศึกษาใหม่ วนกันไปงั้น ที่นิยมกันคือ...ลากไปเรื่อยๆ...

สุดท้ายต้องรอการเมืองชักคะเย่อให้ได้ก่อนจึงจะได้ทำ และประธานแค่นั่งรอเสียงข้างมาก
กรรมการส่วนใหญ่ว่าไงก็ว่ากัน  คือบริหารแบบห่วยๆครับ
ที่ว่าห่วยเพราะประชาชนเลือกมาแล้ว ประชาชนเห็นด้วยกับนโยบายแล้ว ถึงได้รับเลือกมาเป็นรัฐบาลไง

ถ้าถึงเวลาจะทำงานกลับ เอานโยบายไปคิดหาวิธีการ ทบทวนศึกษาความเป็นไปได้ ศึกษาใหม่สารพัด
แถมเบิกงบไปจ้างฝรั่งคิดนโยบายใหม่เป้าหมายใหม่ซ้อนขึ้นมา อย่างที่บางรัฐบาลทำ
ได้ศึกษากันใหม่อีกเรื่อยๆ...  มันก็ห่วยนะสิ

มันแปลว่านโยบายเดิมที่ใช้หาเสียงนั้น เป็นแค่ขายความฝันเพื่อหลอกให้เลือก
ไม่ใด้มีการวางแผนงาน ไม่ได้เตรียมได้คิดวิธีการต่างๆสำรองใว้ก่อน
ไม่ใด้มีการวิเคราะห์แผนและนโยบายอย่างจริงจัง (แต่เอามาขายฝันแก่ประชาชน)
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามีความสามารถในการวางแผนงานหรือไม่
แค่อาศัยพูดไปก่อน แล้วค่อยทำงานแบบด้นสดเอาทีหลังโดยไม่ต้องแคร์นโยบายตอนหาเสียง
คือกะล่อนหลอกลวงชัดๆนั่นหละครับ

ถ้าเป็นรัฐบาลแล้วเดินหน้าลงรายละเอียด มีคนกล้าฟันธง มีคนกล้าชี้กล้าเลือก ทำไปเลยงี้ก็พอมีหวังหน่อย
ถ้าต้องรอกรรมการร้อยคนร้อยความเห็นมาตัดสินใจเรื่องยุทธศาสตร์อย่างบางรัฐบาลนี่ ห่วยครับ
เพราะประชุมสิบครั้งมันก็เปลี่ยนตลอด คนนั้นหมดอายุงานหมดอายุไขคนนี้ใหม่รอศึกษาก่อน
ความเห็นทิศทางเปลี่ยนได้ทั้งสิบครั้งเลย มันจึงใช้การไม่ได้

รัฐมนตรีกล้าฟันธง เรื่องทิศทางนะถูกแล้ว... สัญญากับประชาชนใว้แล้วก็ ปรับหันให้ตรงทิศแล้วเดินหน้าได้เลย
ถึงตอนลงมือทำไปค่อยเป็นหน้าที่ของกรรมการจะแบ่งกันไปคุมไปตรวจสอบกระบวนการ

****
แล้วถ้ามีองค์กรอื่นๆมาค้านมาแย้งนโยบาย... ก็ถือว่าก้าวก่ายฝ่ายบริหารครับ
ยุทธศาสตร์การบริหารต้องต่อเนื่องหนุนกันในทุกมิติ..
แม้องค์กรอื่นๆมีสิทธิ์เห็นต่างในกระบวนการ ย่อยๆ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะเสนอแย้งแบบล้มโครงการ
ไม่มีสิทธิ์มาบอกว่าต้องใช้วิธีไหนอย่างไร การตัดสินใจต้องขึ้นกับฝ่ายบริหารครับ

ถ้ารัฐบาลติดขัดข้อกฏหมาย ก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเสนอพิจารณาแก้ไข
เพื่อเอื้อให้สามารถพัฒนาประเทศได้ทันต่อสังคมโลก

ย้ำอีกครั้ง เมื่อประชาชนเลือกรัฐบาลแล้ว การตัดสินว่านโยบายใช้ได้หรือไม่ได้ ต้องหมดไป...
ไม่ใช่หน้าที่ขององค์กรใดๆจะมาแส่ให้วุ่นวายอีกต่อไป
เพราะประชาชนเลือกแล้ว ประชาชนคนส่วนใหญ่อนุมัติผ่านการเลือกตั้งไปเรียบร้อยแล้ว ว่าอยากใด้ทิศทางนี้
รัฐบาลคิดวางแผนใว้แล้วก็มีหน้าที่เอาไปทำต่อให้สำเร็จ
ถ้าใครอยากเอานโยบายของตัวเองไปทำก็ชนะเลือกตั้งให้ได้เสียก่อนสิครับ มันถึงจะถูก

***
ส่วนการตรวจสอบ ก็ไปตรวจสอบกันที่ กระบวนการดำเนินงานก็พอครับ

ไม่ใช่ตรวจวิธีการดำเนินงานแล้วก็แย้งเรื่องวิธีการจนลามไปถึงแย้งนโยบายอย่างที่ฝ่ายค้านทำกัน มันไม่เข้าท่าเลย
การทำงานนั้นย่อมเลือกใช้ได้หลายวิธี ไม่มีถูกมีผิดอย่างชัดเจนหรอก
เพราะวิธีการดำเนินงานมันเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การบริหาร เป็นกลยุทธ์ เป็นเทคนิคให้งานสำเร็จ
เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ที่จะประมาณการบวกลบไปตามสถานการณ์ ตามประสบการณ์ของเขา
ว่าใช้วิธีไหนจะเหมาะสม

ดังนั้น การไปยุ่งเรื่องวิธีการ จึงเป็นการ แส่เข้าไปในยุทธศาสตร์การบริหาร
เรียกง่ายๆว่า  เตะตัดขาให้ล้มครับ

แต่กระบวนการในการดำเนินงาน และผลงานนั้น ตรวจกันได้ตามสบายเลยครับ
ที่จริงเรื่องผลการดำเนินงาน แม้ไม่ต้องตรวจ พอระยะท้ายๆของโครงการ เริ่มมีการทดสอบระบบ
มันก็ค่อยๆโผล่มาเองหละครับ แม้ฝ่ายค้านไม่ตรวจประชาชนเขาก็ย่อมพิจารณาเอาเองได้ครับ ว่าจะเลือกให้ทำงานต่ออีกหรือไม่

การที่รัฐบาลกล้าทำโครงการใหญ่ ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม จัดเป็นฝันร้ายของฝ่ายค้าน
ซึ่งถนัดแต่นำเสนอนโยบายที่เป็นนามธรรม อุดมคติ แปรเป็นรูปธรรมไม่ได้ ยึดติดอยู่กับของเก่าไปเรื่อยๆครับ

****
อีกประเด็นหนึ่งคือ รัฐบาลมีหน้าที่ทำเรื่องที่เป็นพื้นฐานสนองต่อประชาชน อย่างน้อยในยุคนี้ก็คือ
ปัจจัยสี่  + การเดินทางขนส่ง+ การสื่อสาร + พลังงาน + การศึกษา +
จัดโครงสร้างสังคม + จัดการทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด

เพื่อให้แม้แต่คนระดับลูกจ้างค่าแรงขั้นต่ำก็สามารถเข้าถึงบริการที่ดีได้
ในราคาที่เขาดำรงชีวิตอยู่ได้และมีหนทาง มีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้ ไม่ใช่แค่อยู่ไปวันๆ

รัฐบาลไม่มีหน้าที่เป็นเทวดา เพื่อดลบันดาลให้คนเป็นทุกข์เป็นสุขหรอกครับ
อย่าไปเต้นตามพวกรัฐบาลอุดมคติบางยุคสมัยเลย
เป็นรัฐบาลนะ เรื่องนามธรรม คนดีคนเลวเลิกไปก่อนเหอะครับ รัฐจะขยับตัวทำอะไรมันก็มีคนได้คนเสียทั้งนั้น
คนเสียก็ด่าว่าเลว คนได้ก็ชมว่าดี... ขืนห่วงแต่เรื่องแบบนี้ ก็ไม่ต้องพัฒนากันพอดีครับ

ดังนั้น  ตั้งหน้าทำเรื่องพื้นฐานไปเหอะ
เน้นทำเรื่องที่เป็นรูปธรรม เรื่องทางโลก เห็นผลทางกายภาพชัดๆจะแจ้งนะดีแล้วครับ ถูกทางแล้วครับ
ถ้าแปรอุดมคติให้เป็นรูปธรรมได้ ประชาชนก็มีความผาสุขตามรัฐธรรมนุญได้เองหละครับ
ความคิดเห็นที่ 9
รัฐบาล พท. กู้เห็นด้วย
แต่ถ้าประชาธิปัตย์กู้ ไม่เห็นด้วย แต่ค้านไม่ทันซักที
งุบงิบ ปุบปิบ โผล่มา กู้เรียบร้อยแระ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่